benjasiri
 
Untitled Document
Restaurant Directory
Thai Restaurant
  Chinese Restaurant
  Japanese
Restaurant
  Italian Restaurant
  French Restaurant
  International Restaurant
  Other Restaurant
 
Spa Directory
 

Sukhumvit

  Thonglor
  Silom
  Sathorn
  Pathumwan
  Elsewhere
   
Hotel & Resort
Directory
  Bangkok
  Phuket
  Chiangmai
 

 
Image
Image
Image
Image
 
 
Click for Bangkok, Thailand Forecast
Menu
 Places to Go
 
Home
website hit counterStats
Hotel Booking
Bangkok
Pattaya
Krabi
Chiang Mai
Koh Samui
Phuket
Koh Chang
Koh phangan
Hua Hin
Cha-am
Other
Bangkok Places
The Grand Palace
Wat Trimit
Wat Bukhalo
Siam Paragon
MBK
The Royal Barges
Marimekko – Fabrics, Fashion
Siam Ocean World Bangkok
Saphan Phut
Wat Sri Mahamariamman
Phyathai Palace
Jim Thompson
Untitled Document
Hotels & Resorts
Hilton Phuket Arcadia Resort & Spa
InterContinental
Bangkok
The Grand Hyatt
Erawan Bangkok
Sheraton Krabi Beach Resort
Sri Panwa
Pimalai Resort & Spa
Aleenta Resort & Spa
Phuket - Phangnga
Royal Orchid Sheraton
Nakamanda Resort
Old Bangkok Inn
Banyan Tree Bangkok
Four Seasons Hotel Bangkok
Untitled Document
Restaurants
Supatra River House
Petsaichon
Restaurant
Henry J.Bean's Bar and Grill
Acqua
Bangpoo Resort
Silom Village
Chatuchak Cafe
Madison
Le Vendome
Tsu-Nami
Spring
Untitled Document
Shopping
The Exhibition in Honor of His Majesty the King
Hua Hin Jazz Festival 2006
ICT EXPO 2006
Wat Arun
Festival 2006
Oliviers & Co
Fireworks in the 60th Anniversary Celebrations
Spas
Blue Lagoon Spa
Chi Spa
The Purple Spa
Inner Spa
Crystal Spa
Divana Spa
Sivara Spa, Amari Trang Beach Resort
Banyan Tree Spa, Phuket
Travel
วัดพระธาตุหนองบัว
จ.อุบลราชธานี
วัดพระเหลาเทพนิมิตร
พระมงคลมิ่งเมือง
ดงลำดวน สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จ.ศรีษะเกษ
วัดพระพุทธบาทยโสธร
ปราสาทสระกำแพงใหญ่
วัดมหาธาตุยโสธร
Sarapadnuek Cave,
Pak chong
Koh Samet
The Corral at Ayutthaya
Sanctuary of Truth
Khao Yai
Trang
JJ Market
Articles
Everywhere is Elephant
Visaka Puja Day
Thailand: the Culture
of Rice
Songkran Festival
Untitled Document
Provinces
Ubon Ratchathani
Phuket
Mae Hong Son
Lop Buri
Sukhothai
Trat
Surat Thani
At-Bangkok
In the News
Other Information
Art Galleries
Bangkok Theatres
Transportations
Banks
Embassies
 
Photo Exhibition
Link Exchange
 

 
Untitled Document
:: At-Bangkok ::
click on a button to get a Java Software
to view panoramic tours get Java

กว่าจะมาเป็นไทย...การเดินทางของประวัติศาสตร์แห่งชนชาติ

การพยายามค้นหาต้นตอความเป็นมาเป็นไปเพื่อรู้จักตัวเอง คือพฤติกรรมทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐานของมนุษย์   ดังนี้ความพยายามค้นหาถิ่นกำเนิดและความเป็นตัวตนที่แท้ของคนไทยจึงไม่ใช่เรื่องใหม่หากมันปรากฏลางๆมานานนับร้อยๆปี แสดงออกมาในรูปนิทานปรัมปราอธิบายที่มาของคนและชนชาติไทย           
                แต่เริ่มเอาจริงเอาจังขึ้นเมื่อเกิดภาวะคับขันลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตกแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่รอบข้างประเทศไทย บีบอัดและดูดกลืนเพื่อนบ้านให้ตกเป็นทาสฝรั่ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าไร้อารยะ ยิ่งทำให้กระบวนการค้นหาความเป็นมาของชาติถูกเร่งรัด เพื่อนำมาแสดงให้ตะวันตกเห็นว่า ชาติสืบสายมาเก่าแก่
                ด้วยพระราชนิยมและพระวิเทโศบายของรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 การค้นคว้าความเป็นมาของชาติไทยจึงเริ่มมาแต่ครั้งนั้น  
                ก่อนขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงครองสมณเพศอยู่นานถึง 27 ปี ระหว่างเวลาอันยาวนานนั้นเอง พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย ทำให้ทอดพระเนตรเห็นซากเมืองเก่าแก่ โบราณสถานมากมาย คือประจักษ์พยานความเป็นอารยะของแผ่นดินสยามที่ซ่อนอยู่ในไพรพฤกษ์ ดังนั้นหลังจากพระองค์เถลิงราชสมบัติแล้วจึงทรงพระราชนิพนธ์ประวัติศาสตร์ชาติไทยพระราชทานเซอร์จอห์น เบาริง หรือพระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิศรมหายศ  ราชทูตอังกฤษซึ่งเข้ามาในสยามเมื่อปี พ.ศ.2398 โดยทรงเล่าว่าคนไทยเริ่มตั้งอาณาจักรเป็นแห่งแรกทางตอนเหนือของประเทศ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยม  ซึ่งรู้จักกันในนาม สุโขทัย ทรงอาศัยหลักฐานทั้งจากศิลาจารึกซึ่งทรงค้นพบ และโบราณสถานมากมายในเขตเมืองนั้นเป็นกรณีศึกษา นับเป็นประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่รับทราบกันในยุคนั้น
                กระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภัยจากการล่าอาณานิคมอุบัติขึ้นรอบตัวและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สยามจึงเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับที่มาของชนชาติอย่างกว้างขวาง นักปราชญ์หลายคนอาทิ สมเด็จ ฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระยาอนุมานราชธน หลวงวิจิตรวาทการ เสนอทฤษฏีมากมายขึ้นมา             ทั้งเชื่อว่าไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตทางตอนใต้ของประเทศจีน อพยพมาจากทางตอนกลางแถบลุ่มแม่น้ำแยงซี อพยพขึ้นมาจากแถบเส้นศูนย์สูตรทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นต้น
                แต่ทฤษฎีเหล่านี้ก็ถูกลบล้างไปด้วยวิทยาการและการพิสูจน์ด้วยความรู้สมัยใหม่ซึ่งใช้เวลายาวนานนับสิบๆปี  กระทั่งสรุปว่าแท้จริงเราไม่ได้มาจากไหน แต่เราลงหลักปักฐาน ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาแต่ครั้งบรรพกาล
                จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น  อุดรธานี  พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี  ที่พบโบราณวัตถุประเภทเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริด  เครื่องปั้นดินเผา และโครงกระดูกจำนวนมาก สันนิษฐานว่ามีอายุราว 4,500 – 5,000 ปี ซึ่งตรงกับยุคสำริดและยุคเหล็ก นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
                ไม่เพียงเท่านั้นมนุษย์ในยุคนั้นยังตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วไปในเขตประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เช่นแถบภาคกลาง เช่นจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี เรื่อยไปจนถึงกาญจนบุรี ขึ้นเหนือไปที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และลงใต้ไปจนถึงแถบจังหวัดพัทลุง เป็นต้น
                ผู้คนในยุคนั้นมีความเจริญถึงขั้นรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม มีความสามารถในการหลอมโลหะ ถลุงเหล็ก           ทำเครื่องปั้นดินเผา เป่าแก้ว มีการเลี้ยงสัตว์และทำเกษตรกรรม นับถือภูตผีปีศาจและอำนาจลี้ลับ เชื่อในโลกหลังความตายอันส่งผลต่อพิธีกรรมในการฝังศพ และมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานทั้งเพื่อหาแหล่งที่อยู่ใหม่และ เพื่อการค้า
                เมื่อการค้าเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเช่นนั้นจึงเกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวต่างชาติ อารยธรรมจากดินแดนไกลโพ้นเริ่มเข้ามามีบทบาทในดินแดนแถบนี้ โดยเฉพาะอารยธรรมที่เจริญอย่างยิ่งยวดทางทิศตะวันตกของประเทศไทย  อารยธรรมอินเดีย 
                สันนิษฐานว่าอารยธรรมอินเดียเดินทางเข้ามาในพื้นที่แถบนี้พร้อมพ่อค้าและเหล่านักบวชทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์  โดยเฉพาะเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าทางทะเลอย่างลพบุรี นครสวรรค์ ปราจีนบุรี และกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี
                อิทธิพลอารยธรรมอินเดียช่วยวางรากฐานทางการเมืองและสังคมแก่คนพื้นเมืองแถบนี้กระทั่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นเมืองใหญ่ภายใต้นาม อาณาจักรทวาราวดี เมื่อราว พุทธศตวรรษที่ 11 – 13  ร่องรอยความเจริญครั้งนั้นหลงเหลือมาในรูปของพระพุทธรูปและเทวรูปหินสลัก เหรียญเงิน เครื่องประดับมีค่าจำพวกทองคำและหินกึ่งอัญมณี  รวมถึงซากเมืองโบราณขนาดมหึมาที่กระจายอยู่ตามเมืองเก่าดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นอาทิ
                ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรทางตะวันออกของทวาราวดี คือ กัมพูชา เรืองอำนาจขึ้นและแผ่ขยายอิทธิพลเข้าครอบงำรัฐทวาราวดีที่กำลังเสื่อมโทรมเพราะภัยรุกรานจากพม่า ทำให้ผู้คนในอาณาจักร                 ทวาราวดีหันมายอมรับนับถือชาติที่เข้มแข็งกว่าอย่างขอม ก่อกำเนิดยุคสมัยที่เรียกว่า ละโว้ หรือลพบุรี ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองลพบุรีในฐานะเมืองหลวงแห่งที่สองของราชอาณาจักรกัมพูชา ในเวลานี้ บ้านเมืองในเขตนี้มลังเมลืองไปด้วยศาสนสถานแบบขอม ปรางค์ปราสาทถูกก่อร่างสร้างขึ้นบนผืนแผ่นดินที่เคยเรียกตัวเองว่า สยาม มาแต่โบราณ ซึ่งเป็นคนละชนชาติกับพวกละว้าทางเหนือ ที่ต่อมาก่อตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้น
                ส่วนในพื้นที่ทางใต้ของสยามก็ปรากฏอาณาจักรใหญ่ที่รับอิทธิพลอินเดียผ่านเขมรมาเช่นกัน ทั้งทางศิลปะ ศาสนาความเชื่อ ระบบการปกครองและสังคม นั่นคืออาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แผ่ขยายอธิพลครอบคลุมแถบศูนย์สูตรเกือบทั้งหมด
                กระทั่งในราว พ.ศ. 1732 เมื่อกษัตริย์ผู้ทรงศักดานุภาพของขอมอย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคตลงอาณาจักรกัมพูชาเริ่มอ่อนแอ  คนสยามในเมืองเล็กๆแถบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านทางตอนเหนือ ก็รวบรวมไพร่พลขับไล่ผู้ปกครองจากเขมรกลุ่มสุดท้ายออกไป
                ประมาณปี พ.ศ. 1781 พ่อขุนบางกลางท่าวและพ่อขุนผาเมืองได้รวบรวมกำลังพลขับไล่ขอมสบาทโขลญลำพง ผู้ปกครองชาวเขมรออกจากเมืองสุโขทัยได้สำเร็จ แล้วสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรสุโขไท ซึ่งหมายถึงความสุขอันเกิดจากความอิสระ พ่อขุนบางกลางท่าวปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักร พระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นับเป็นเมืองหลวงของชาวสยามแท้ๆแห่งแรก และเป็นปฐมบทของชาติไทยโดยแท้
                พ.ศ. 1820 พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสวยราชสมบัติอาณาจักรสุโขทัย พระนามพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชายิ่ง ทรงจัดระบบการชลประทานในเมืองเพื่อขจัดปัญหาขาดแคลนน้ำด้วยการสร้างเขื่อนดินขนาดใหญ่ นาม สรีดภงค์ นับเป็นเขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นการชลประทานในยุคเริ่มแรกของประวัติศาสตร์  ที่สำคัญที่สุดทรงประดิษฐ์ลายสือไทและอักขระวิธีแบบไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826  ซึ่งพัฒนามาเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน
                พ.ศ. 1890 พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงครองราชย์สมบัติกรุงสุโขทัยในพระนาม สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยนโยบายทางพระพุทธศาสนา ทรงวางรากฐานทางพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทให้กับแคว้นเล็กแคว้นน้อยรอบข้างสุโขทัย ทั้งแพร่ พะเยา ล้านนา นครศรีธรรมราช และ มอญ เป็นต้น ทรงสร้างพระพุทธปฏิมาอันงามล้ำเลิศเป็นที่ยอมรับไปทั่วทุกทิศานุทิศ นั่นคือ พระพุทธชินราชแห่งเมืองพิษณุโลก   3 ปีหลังจากขึ้นครองราชย์เมืองเล็กๆทางทิศใต้ของสุโขทัยซึ่งมั่งคั่งเพราะการค้าก็แยกตัวเป็นอิสระ สถาปนาตนเองเป็นแคว้น มีชื่อว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร
                กระทั่ง พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทองเจ้านายในเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครทรงพาไพร่พลหลีกหนีโรคระบาดไปสร้างเมืองใหม่  จนพบทำเลเหมาะและสถาปนาเมืองขึ้นมีศูนย์กลางอยู่ที่หนองโสน( บึงพระราม ) พระราชทานนามว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา  จากนั้นก็ทรงปราบปรามเมืองเล็กเมืองน้อยให้เข้ามาอยู่ใต้อำนาจทั้งด้วยการรบและอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เช่นเมืองสุพรรณบุรี ละโว้ นครศรีธรรมราช  เป็นต้น
                กระทั่งพ.ศ.1991 เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงครองกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่4(  บรมปาล ) แห่งสุโขทัยสวรรคต  สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงอ้างความชอบธรรมที่ทรงมีสายเลือดสุโขทัยทางพระมารดาเข้าครองกรุงสุโขทัย จึงถือได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยล่มสลายอย่างราบคาบในเวลานี้
                กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2112 พม่าจึงยกทัพเข้าโจมตีกรุง กษัตริย์พม่าแต่งตั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชา ( ซึ่งแต่เดิมเป็นขุนพิเรนทรเทพ )ให้ครองกรุงศรีอยุธยาต่อไปภายใต้อาณัติพม่า แต่สุดท้ายพระราชโอรสของพระองค์ คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงประกาศเอกราชได้สำเร็จในปี 2121 ไทยจึงเป็นไทอีกครั้ง
                จากนั้นมากรุงศรีอยุธยาก็กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง และถึงขีดสุดในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งนับเป็นยุคทองของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงทำนุบำรุงศิลปะ วรรณคดี การเมืองการปกครอง การทหาร การค้า  แม้เมื่อพระราชโอรสของพระองค์ คือสมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นครองสิริราชสมบัติในปี 2209 บ้านเมืองก็ยิ่งเจริญรุดหน้า ด้วยทรงนำวิทยาการตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศ ทรงติดต่อเจริญพระราชไมตรีกับต่างชาติ หลายชาติหลายภาษา ทรงทำนุบำรุงศิลปะและโปรดฯให้ชาวต่างชาติเข้ารับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ โปรดฯให้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีที่สอง จนได้รับฉายาว่า แวร์ซายแห่งตะวันออก
                แต่กรุงศรีอยุธยาก็ต้องถึงกาลดับสูญ หลังจากตั้งเป็นราชธานีอยู่ได้ยาวนานถึง 417 ปี เมื่อพระเจ้ามังระแห่งพม่ายกทัพมาตีกรุงในปี 2310 และเผากรุงศรีอยุธยาจนวอดวาย
                แต่ขุนนางท่านหนึ่งมิได้ยอมแพ้ นำไพร่พลน้อยนิดตีฝ่าพม่าออกมาซุ่มอยู่ที่จันทบุรี ก่อนจะกลับไปตั้งบ้านแปงเมืองรวบรวมครัวไทยที่แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไปคนละทิศละทางให้กลับมารวมกันอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แถบป้อมวิไชยประสิทธิ์ ประกาศเอกราชจากพม่าแล้วสถาปนานครใหม่นาม  กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ทรงปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ พระนาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
                แม้กรุงธนบุรีจะมีอายุสั้นเพียง 15 ปี แต่พระเจ้าตากก็ทรงทำหน้าที่สำคัญในการวางรากฐานและความมั่นคงในทุกๆด้าน  รวบรวมสรรพปัญญาความรู้และผู้คนจากทุกทิศเข้ามารวมกันอีกครั้ง เพื่อวันหนึ่งจะกลับมาเติบโตและเข้มแข็ง ....และแล้วก็เติบโตมาเป็นชาติ โตมาเป็นเรา ..คนไทย .. ในกรุงรัตนโกสินทร์

 
 
 
 
 
 
 
 
 
Untitled Document
Google
Monthly Newsletter
Subscribe newsletter

Untitled Document news thai
What's on?


Untitled Document


Back to To

Copyright 2004 www.At-bangkok.com All Rights Reserved
30 Sukumwit 85 Bangjak Prakanong Bangkok 10260 Tel. 662-331-1610, 662-331-1618 _Fax. 662-331-1618
email: pr@at-bangkok.com